คำพิพากษาที่ 10637 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024 ซึ่งออกโดยศาลฎีกา ถือเป็นคำตัดสินที่สำคัญในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า ศาลได้วินิจฉัยว่า ในกรณีที่มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในเครื่องหมายการค้า การยินยอมเป็นเอกฉันท์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทั้งหมดเป็นสิ่งจำเป็นในการอนุญาตให้บุคคลภายนอกใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว หลักการนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมและการคุ้มครองสิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ประเด็นหลักที่ศาลพิจารณาคือการมีกรรมสิทธิ์ร่วมในเครื่องหมายการค้าระหว่างบุคคลหลายฝ่าย เมื่อเครื่องหมายการค้ามีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมหลายคน แต่ละคนมีสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้น การอนุญาตให้บุคคลภายนอกใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวจึงเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมคนอื่นในการใช้ประโยชน์จากเครื่องหมายการค้านั้นโดยตรง และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องได้รับความยินยอมเป็นเอกฉันท์
คำตัดสินของศาลอ้างอิงจากบทบัญญัติหลายประการของประมวลกฎหมายแพ่ง โดยเฉพาะมาตรา 1102, 1103, 1105 และ 1108 ซึ่งควบคุมการมีกรรมสิทธิ์ร่วมและสิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม โดยเฉพาะมาตรา 1108 กำหนดว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมแต่ละคนสามารถจำหน่ายทรัพย์สินส่วนกลางได้โดยได้รับความยินยอมจากผู้อื่น คำพิพากษานี้จึงยืนยันความสำคัญของหลักการนี้ในบริบทของการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า
(ความเป็นเอกสิทธิ์ของเครื่องหมายการค้า) - โดยทั่วไป การมีกรรมสิทธิ์ร่วมในเครื่องหมายการค้า - สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวแก่บุคคลภายนอก - ความจำเป็นในการได้รับความยินยอมเป็นเอกฉันท์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม - การมีอยู่ - เหตุผล ในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมในเครื่องหมายการค้า สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวแก่บุคคลภายนอกในการใช้เครื่องหมายนั้น จะต้องได้รับความยินยอมเป็นเอกฉันท์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทั้งหมดจึงจะมีผลสมบูรณ์ เนื่องจากผู้รับอนุญาตแต่เพียงผู้เดียวจะถูกจำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนกลางโดยตรง ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของมาตรา 1108 วรรค 1 และ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
คำพิพากษาที่ 10637/2024 ให้ข้อคิดที่สำคัญสำหรับผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการที่ดำเนินงานในด้านเครื่องหมายการค้า คำพิพากษานี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบริหารจัดการใบอนุญาตให้ใช้สิทธิอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการถือกรรมสิทธิ์ร่วม ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในเครื่องหมายการค้าจะต้องกำหนดความเข้าใจและข้อตกลงที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในอนาคตและรับประกันการประเมินมูลค่าของเครื่องหมายการค้านั้นอย่างถูกต้อง การคุ้มครองสิทธิของแต่ละผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมจะต้องมาก่อนเสมอ เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพและปราศจากข้อขัดแย้ง